ปริมาณความต้องการทองคำของประเทศไทยยังคงแข็งแกร่งท่ามกลางราคาทองคำที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
รายงานแนวโน้มความต้
ปริมาณความต้องการทองคำที่เพิ่
ธนาคารกลางต่าง ๆ ยังคงซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง จากสถิติอย่างเป็
ด้านสถานการณ์ของทองคำสำหรั
สำหรับกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำแท่งสำหรับนักลงทุน กระแสการลงทุนยังคงไหลออกอย่
ปริมาณความต้
นอกจากนี้แล้ว ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยี
ในด้านของอุปทาน การผลิตทองคำจากเหมืองแร่เพิ่มสูงขึ้น 4% เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 893 ตัน ซึ่งเป็นสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ของการผลิตในไตรมาสแรก ในขณะที่ปริมาณการรีไซเคิลทองคำเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 โดยเพิ่มขึ้นถึง 12% จากไตรมาสแรกของปี 2566 อยู่ที่ 351 ตัน เนื่องจากนักลงทุนบางรายมองว่าราคาทองที่สูงเป็นโอกาสดีสำหรับการทำกำไร
คุณเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าธนาคารกลางทั่วโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “แม้ว่าราคาทองคำได้เพิ่มขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกัน ในไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดทองคำเครื่องประดับ แต่ความต้องการทองคำผู้บริโภคโดยรวมในประเทศไทยก็ยังคงเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำที่เพิ่มมากขึ้น เราพบว่าปริมาณความต้องการทองคำเครื่องประดับในประเทศไทยปรับลดลงในช่วงที่ราคาเริ่มปรับตัวสูงขึ้นในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ยังนำไปสู่การรีไซเคิลทองคำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย”
คุณหลุยส์ สตรีท (Louise Street) นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโส ของสภาทองคำโลก แสดงความเห็นว่า “ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมาราคาทองคำได้ไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ต้องเผชิญกับแรงต้านจากวิเคราะห์แบบดั้งเดิม ซึ่งคือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่า และอัตราดอกเบี้ยที่พิสูจน์แล้วว่าจะยังคงระดับสูงนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม”
“ปัจจัยหลายประการอยู่เบื้องหลังการพุ่งขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาคที่ยังคงมีอยู่ ผลักดันให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ยังรวมถึงความต้องการทองคำจากธนาคารกลางที่ยืนหยัดอย่างต่อเนื่องและมั่นคง การลงทุนในตลาด OTC ที่แข็งแกร่ง และการซื้อสุทธิที่เพิ่มขึ้นในตลาดอนุพันธ์ต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้น”
“สิ่งที่น่าสนใจคือเรากำลังมองเห็นแนวโน้มพฤติกรรมของนักลงทุนชาวตะวันออกและตะวันตกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปกตินักลงทุนในตลาดตะวันออกจะมีความอ่อนไหวต่อราคามากกว่า โดยมักรอช่วงที่ราคาทองคำลดลงเพื่อหาจังหวะซื้อ ในขณะที่นักลงทุนชาวตะวันตกมักถูกดึงดูดด้วยราคาที่สูงขึ้นและมีแนวโน้มที่จะซื้อในช่วงที่ราคาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ในไตรมาสแรกของปีเราเห็นว่าบทบาทนี้กลับสลับกัน เนื่องจากความต้องการลงทุนในตลาดต่าง ๆ เช่น จีนและอินเดีย เติบโตอย่างมากในช่วงที่ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น”
คุณหลุยส์ กล่าวเสริมว่า “เมื่อมองไปข้างหน้าในปี 2567 มีแนวโน้มที่ทองคำจะสร้างผลตอบแทนแข็งแกร่งกว่าที่เราได้คาดการณ์ไว้เมื่อตอนต้นปี จากผลการดำเนินงานที่ดีในช่วงที่ผ่านมา หากระดับราคาลดต่ำลงในช่วงเดือนต่อจากนี้ผู้ซื้อที่อ่อนไหวต่อราคาบางรายอาจกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง และนักลงทุนจะยังคงมองหาทองคำเพื่อเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยต่อไป ในช่วงที่พวกเขาต้องการความชัดเจนเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยและผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น”